ผลเสียของ น้ำตาล ที่มากกว่า…โรคเบาหวาน

ผลเสียของ น้ำตาล

ผลเสียของ "น้ำตาล" ที่มากกว่า...โรคเบาหวาน

        ผลเสียของ น้ำตาล ภัยอันตรายต่อสุขภาพ ที่สำคัญน้ำตาลเป็นตัวการสำคัญของโรคอ้วน ถึงงแม้จะให้พลังงานได้รวดเร็ว แต่ไม่ค่อยมีสารอาหารเท่าใดนัก และเมื่อร่างกายใช้พลังงานที่รับเข้าไปไม่หมด ตับก็จะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันไปสะสมทั่วร่างกาย และเมื่อคุณติดใจในความหวาน คุณก็จะยิ่งกินหวานมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทีนี้ไขมันก็จะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ และก็ตามมาด้วยโรคจากความอ้วนต่างๆ

ถึงแม้ว่าน้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลาย ไปดูกันว่า ผลเสียของ น้ำตาล มีอะไรบ้าง??

  1. เมื่อกินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
  2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง
  3. หากยังคงกินน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น
  4. การกินน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
  5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการกินน้ำตาลมากเกินไป
  6. ทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ “เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร
  7. นอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่
  8. ทำให้อารมณ์แปรปรวน แม้ว่าการกินน้ำตาลจะทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปผลที่ตามมาก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิดค่ะ เพราะมีการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Public Health Journal ซึ่งติดตามผลจากคนกว่า 9,000 คน พบความเชื่อมโยงระหว่างภาวะซึมเศร้ากับการรับประทานน้ำตาลและอาหารฟาสต์ฟู้ด ว่า ผู้ที่รับประทานอาหารขยะติดต่อกัน 6 ปี เกือบ 40% มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคซึมเศร้า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารขยะซ้ำยังเกิดภาวะดื้ออินซูลินและสมองยังหลั่งสารโดปามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารความสุขน้อยลงอีกด้วย

       รู้กันแบบนี้แล้ว เพื่อนๆต้องระมัดระวังการทานน้ำตาลเกินขนาด อย่ากินตามใจปาก ควรกินอย่าพอเหมาะ แต่จะเลี่ยงโดยไม่กินเลย ก็นับว่าไม่ดี เพราะยังไงเสีย ร่างกายคนเราก็ยังต้องการพลังงานจากน้ำตาลอยู่ดี  ซึ่งการไดเอตน้ำตาลเป็นวิธีที่จะทำให้เราสามารถลดการบริโภคน้ำตาลลงได้ ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายสูงถึงขนาดเลิกบริโภคน้ำตาลให้ได้ แต่แค่เพียงลดปริมาณน้ำตาลลงได้จนอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดีสืบไปในอนาคตค่ะ

อยากเผาผลาญไขมันส่วนเกินอยากถูกวิธี คลิ๊ก